คอมพิวเตอร์น่ารู้


การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค

โพสต์8 ธ.ค. 2554 18:34โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 7 มิ.ย. 2556 18:55 ]

แนะนำบทความดีๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค จะเลือกอย่างไรให้ถูกใจและคุ้มค่ามากที่สุด


        โน้ตบุคคอมพิวเตอร์ก็เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในประเภทของอุปกรณ์ที่อิน เทรนด์ ท่านลองนึกภาพที่เวลามีคนเดินเข้ามาแล้วเปิดโน้ตบุควางบนตัก แล้วเริ่มลงมือทำงาน ทุกคนก็จะจ้องกันเป็นตาเดียวด้วยความรู้สึกที่เท่ สมาร์ต ดูเป็นมืออาชีพ และบางคนซื้อโน้ตบุคก็ด้วยเหตุผลที่ต้องการทำให้ตนเองดูดีเท่านั้น การซื้อโน้ตบุคนั้นถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งเลยทีเดียว และสำหรับการดำเนินธุรกิจทั้งหลายก็เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุค แต่ก็จะมีคำถามตามมาอีกว่า ทำไมโน้ตบุคจึงมีราคาแพงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป ทั้งที่อุปกรณ์ทุกอย่างก็มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งท่านก็คงคิดว่ามันน่าจะถูกกว่า แต่ผิดเลยครับ ในโลกของเทคโนโลยีนั้นตรงข้ามกันอย่างมาก ยิ่งเล็กยิ่งแพงครับ เราลองย้อนกลับไปในศตวรรษก่อนจะพบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องการพื้นที่ทั้ง หมดของห้องในการจัดเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการที่จะทำให้เล็กลงเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมโน้ตบุคถึงมีราคาแพง นอกจากเรื่องราคาแล้ว โน้ตบุคก็ยังเสียหายได้ง่ายกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปอีก เช่น การที่เราต้องเดินทางอยู่บ่อย ๆ และนำโน้ตบุคไปด้วยนั้น บางครั้งถ้าเราขาดความระมัดระวังแล้ว โน้ตบุคของเราก็อาจจะไปกระแทกกับอย่างอื่นก็อาจเป็นได้ หรือบางครั้งก็อาจจะเกิดจากการสะเทือนขณะเคลื่อนย้ายก็ได้ แม้ว่าจะมีราคาแพงและเสียหายได้ง่าย แต่โน้ตบุคก็ยังได้รับความนิยมดังเหตุผลต่อไปนี้
        1. เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับคนที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ และจะต้องใช้งานคอมพิวเตอร์ในระหว่างที่เดินทางอยู่ หลาย ๆ คนใช้โน้ตบุคในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและเปิดอ่านอีเมล์ นอกจากนี้ยังใช้สำหรับติดต่อกลับมายังสถานที่ทำงานของตนอีกด้วย
        2. นอกจากโน้ตบุคจะเป็นอุปกรณ์หลักที่จะใช้ติดตัวไปทำงานนอกสถานที่ทำงานสำหรับ ผู้ที่มีอาชีพไม่ได้อยู่ในสำนักงาน ก็สามารถที่จะนำข้อมูลที่ได้กลับมาใส่ในคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป หรือนำอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ที่ได้ส่งอีเมล์หรือส่งทางเนตเวิร์กได้ทันที
        3. เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคจะใช้แทนกระดาษบันทึกจากการฟังบรรยายหรือสัมภาษณ์ เช่น นักหนังสือพิมพ์ พนักงานขายสินค้า ต่าง ๆ ก็สามารถที่จะบันทึกข้อมูลลงในโน้ตบุคได้ทันที และตัวโน้ตบุคเองก็สามารถที่จะเก็บข้อมูลได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคู่มือเล่มใหญ่ ๆ เมื่อต้องการค้นหา หรือแคตตาล็อกเมื่อต้องแสดงแบบของสินค้าให้ลูกค้าดู หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ต้องใช้กระดาษมาก ๆ ก็สามารถเก็บลงในโน้ตบุคได้เลย
        4. นอกจากนี้ยังเป็นเหตุผลส่วนตัวบางประการ เช่น ผู้ป่วยที่เพิ่งจะฟื้นไข้ก็สามารถที่จะทำงานอยู่บนเตียงผู้ป่วยได้เลย หรืออาจจะเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง เพื่อความบันเทิงก็ได้ หรือบางบ้านใช้โน้ตบุคก็เพราะว่าประหยัดเนื้อที่ในบ้านและสามารถที่จะเคลื้อ นย้ายไปทำงานได้ทุก ๆ ห้องในบ้าน รวมทั้งหิ้วออกไปนอกบ้านได้ด้วย

        โดยทั่วไปแล้วเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคก็ไม่เหมือนกันทุกเครื่อง อีก ซึ่งสามารถแบ่งเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
        1. value notebook เป็นประเภทของโน้ตบุคที่ขายดีที่สุด เพราะว่าราคาจะพอดีและเหมาะสมกับงบประมาณของผู้ซื้อ เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วในสเป็กของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เท่าเทียมกัน เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคจะมีราคาที่แพงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปอ ยู่แล้ว ดังนั้นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าย่อมที่จะมีราคาแพงกว่าเช่นกัน เพราะ value notebook เป็นการผสานกันระหว่างราคาที่ลงตัว และเฉลี่ยด้วยความสามารถที่อุปกรณ์ระดับหนึ่งจะทำได้ แต่รูปลักษณ์ก็ไม่เก๋ไก๋มากนัก
        
2. light notebook เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคประเภทนี้จะมีราคาแพงกว่าเครื่อง value notebook เพราะว่าเป็นความพยายามที่จะทำให้น้ำหนักของเครื่องน้อยลง อุปกรณ์บางชิ้นก็ต้องเอามาต่อภายนอกอีกที เช่น ช่องสำหรับใส่ดิสก์เก็ตต์ และมักจะใช้หลักการ clip-on เวลาที่เราจะใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมและมีการสำรองแบตเตอรี่ไว้เยอะ ๆ เมื่อเวลาที่จะนำออกไปข้างน้อยก็ค่อยถอดอุปกรณ์ที่ clip-on ออก ถ้าท่านจะตัดสินใจเลือกโน้ตบุคแบบนี้ก็ต่อเมื่อท่านต้องทำงานเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์อยู่ข้างนอกที่ทำงานเป็นส่วนใหญ่หรือตลอดเวลา เนื่องจากว่าโดยปกติโน้ตบุคก็มีน้ำหนักมากพอสมควรถ้าต้องถืออยู่ตลอดเวลา หรือใช้เวลานานพอสมควร จะทำให้เมื่อยมือและเสียบุคลิกภาพได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิง ก็จะมีปัญหามากกว่าผู้ชายเพราะบางครั้งผู้หญิงที่ต้องใส่กระโปรงและรองเท้า ส้นสูงก็อาจทำให้เมื่อยล้าเพิ่มขึ้นไปอีก
        
3. bells and whistles notebook หรือที่เรียกกันว่า power notebook หรือ high-end notebook แบบนี้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่สามารถทำได้ทุกอย่าง และมีราคาสูงด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากคำว่า “high-end” เมื่อไหร่ที่ท่านเจอคำนี้ให้ทำใจไว้ได้เลยครับว่าแพงกว่าธรรมดาแน่นอน ก็อย่าเพิ่งตกใจไปนะ ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจซื้อโน้ตบุคที่เป็นแบบ “high-end” นั้น จะต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าท่านจะได้อะไรเพิ่มขึ้นมาจากการซื้อโน้ตบุ คดังกล่าว หรือว่าเพียงแค่ต้องการทำให้ดูดีเท่านั้น โดยปกติการพิจารณาโน้ตบุคก็จะดูกันที่ความสามารถของการทำงาน ซึ่งก็จะเร็วอยู่แล้ว และก็จะดูอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น ช่องใส่ดิสก์เก็ตต์ หรือช่องใส่ดีวีดี หรือมีฮาร์ดดิสก์มากพอไหม และที่ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นก็คือ การสำรองแบตเตอรี่ ยิ่งนานก็ยิ่งเป็นจุดเด่นของโน้ตบุคยี่ห้อนั้น ๆ บางรุ่นก็เพิ่มเทคโนโลยีไร้สายเข้าไป รวมทั้งมีอินฟราเรดพอร์ตด้วย หมายความว่าท่านสามารถส่งผ่านข้อมูลไปพิมพ์ออกพริ้นเตอร์ได้โดยไม่ต้องต่อ สาย หรือนำเสนอผ่านโปรเจคเตอร์โดยไม่ต้องใช้สายด้วยเช่นกัน โน้ตบุคประเภทนี้ยังมีระบบไฟและระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสูง และมีหน่วยความจำเยอะ ช่วยให้การทำงานเร็ว อีกทั้งยังมีหน้าจอขนาดใหญ่กว่าโน้ตบุคแบบธรรมดาอีกด้วย ท่านคงต้องตัดสินใจที่จะซื้อไว้สักเครื่องถ้าท่านมีแผนที่จะดำเนินธุรกิจ ร่วมไปกับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ทอป หรือถ้าท่านต้องการใช้งานแบบกราฟิก หรือการใช้งานด้านเสียงจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุค ก็ต้องเลือกโน้ตบุคประเภทนี้ครับ แต่ก็อย่าลืมว่าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่เป็น “high-end” แม้จะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงแต่ก็จะตกรุ่นได้เร็วเหมือนกัน เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาครับท่าน


toshiba notebook

องค์ประกอบของโน้ตบุค

    หลังจากที่ท่านตัดสินใจได้แล้วว่าอยากจะได้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคประเภท ไหนแล้ว ทีนี้ก็ต้องมาดูรายละเอียดของแต่ละยี่ห้ออีกว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรซึ่ง มีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควร เพื่อความง่ายในการพิจารณา ผู้เขียนจะแยกองค์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคออกเป็นส่วน ๆ แล้วมาดูกันว่าแต่ละส่วนต้องพิจารณาอย่างไรและมีความแตกต่างจากเครื่อง คอมพิวเตอร์เดสก์ทอปอย่างไร

    1. notebook processor สิ่งที่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปก็คือ ขนาด แต่ความเร็วก็เหมือนกันในรุ่นที่เท่ากัน และก็เหมือนกับเดสก์ทอปที่ตัวเลขบอกความเร็วของเมกะเฮิร์ต ถ้ายิ่งมากก็ยิ่งประมวลผลเร็ว และถ้าเป็นโปรเชสเชอร์ของ celeron ก็จะทำงานได้ช้าก็ pentium แต่ celeron ก็จะมีราคาถูกกว่า

    2. คีย์บอร์ด ถ้าท่านคิดว่าจะใช้แป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคได้เหมือนกันกับ แป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปแล้วละก็ ท่านคิดผิดแล้วละครับ แป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคจะเล็กกว่า ก็หมายความว่าการที่ท่านจะวางนิ้วตามปกติของท่านบนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ เดสก์ทอปนั้นก็จะไม่เหมือนกัน แต่เมื่อใช้ไปในเวลานาน ๆ บนคอมพิวเตอร์โน้ตบุคก็อาจจะทำให้เมื่อยและเกิดอาการปวดตามข้อนิ้วได้ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคบางรุ่นก็สามารถนำแป้นพิมพ์ของเดสก์ทอปมาต่อกับ โน็ตบุคได้ ทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้น ซึ่งในกรณีนี้เครื่องคอมพิวเตอร์โตบุคจะมีช่องให้เสียบได้ที่ด้านหลังของ เครื่อง แต่อย่างไรก็ตามก็ควรเลือกแป้นพิมพ์ที่ไม่หนัก คือใช้น้ำหนักกดลงไปไม่มากและมีการคืนตัวที่พอดี นอกจากนี้ควรทำขนาดให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีความแตกต่างกัน ต้องเลือกดูให้ดีนะครับ

    3. navigation device อุปกรณ์ที่ว่านี้เปรียบเทียบได้กับเม้าส์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งมันก็คืออุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการเลื่อนตำแหน่งเคอร์เซอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคจะมีอุปกรณ์ประเภทนี้แตกต่างกันไป แต่ที่เห็นใช้กันมากในปัจจุบันนั้นเรียกว่า “touchpad” ซึ่งมีพื้นผิวให้ผู้ใช้ได้สัมผัสในการระบุตำแหน่งเคอร์เซอร์โดยใช้เมตริกซ์ ของระนาบ เม้าส์จะเลื่อนตามเมื่อเราเลื่อนนิ้วไปบน touchpad แต่บางครั้ง touchpad ก็สูญเสียเมตริกซ์ทำให้ไม่สามารถควบคุมเม้าส์ได้ ก็จะเกิดความผิดพลาดขึ้น ส่วนอีกแบบหนึ่งเรียกว่า “trackball” อันนี้ก็ให้นึกถึงเม้าส์ที่หงายท้องนะครับ เวลาใช้ก็ใช้นิ้วกลิ้งแล้วเม้าส์ก็จะเลื่อนตามลูกบอลที่กลิ้งไป นอกจากนี้ก็มีอีกแบบหนึ่งเรียกว่า “accupoint” จะเป็นแท่งเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ตรงกลางของแป้นพิมพ์ เวลาใช้ก็ใช้นิ้ววางที่ accupoint แล้วกดน้ำหนักลงไปเล็กน้อย จากนั้นถ้าต้องการเลื่อนเม้าส์ไปทางซ้ายก็ผลัก accupoint ไปทางซ้าย อยากเลื่อนไปทางขวาก็ผลักไปทางขวา แต่จะเลือกแบบไหนก็ตามใจชอบนะครับ แต่ขอให้ลองสัมผัสดูก่อนไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ก็ชอบแบบนี้แบบนั้นเลย ผู้เขียนกลัวว่ามันจะไม่ทำงานหรืออาจจะไม่เหมาะกับเรา แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถต่อเม้าส์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคได้ครับ

    4. Display จริง ๆ แล้วหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคถือเป็นจุดขายที่สำคัญเลยทีเดียว เพราะว่าจอที่มีคุณภาพต่ำและมีขนาดเล็กจะทำให้ผู้ใช้สายตาเสียและหัวเสียได้ ครับ หน้าจอที่ชัดและขยายใหญ่ให้ได้มากที่สุดจะเป็นของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ คในฝันของผู้ใช้เลยทีเดียว แต่ขนาดของจอโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 13.3-15.0 นิ้ว (วัดตามแนวเส้นทะแยงมุม) สำหรับหน้าจอถ้าแบ่งตามเทคโนโลยีที่ใช้ จะแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
        4.1 Thin Film Transistor (TFT) เป็นจอที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ให้ความคมชัดอยู่ในเกณฑ์ดี
        4.2 Double Layer Super Twist (DSITN) เป็นจอที่มีคุณภาพด้อยกว่าแบบ TFT และราคาจะถูกกว่า นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในด้านการแสดงภาพ
        4.3 High-Performance Addressing (HPA) เป็นจอที่มีประสิทธิภาพสูง มีการปรับ contrast ที่ดี ให้มุมมองกับภาพที่ดีกว่าแบบ TFT และส่วนใหญ่จอประเภทนี้จะเป็นจอของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคแบบ “high-end” ด้วย
อย่างไรก็ตามความละเอียดของหน้าจอ (resolution) ก็มีความสำคัญในการใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่มีความละเอียดสูง ๆ ย่อมดีกว่าความละเอียดน้อย ๆ จอที่เป็น VGA ก็จะเป็นจอที่มีคุณภาพต่ำสุด รองลงมาคือ SVGA และคุณภาพสูงสุดคือ XGA

    5. hard disk drive  ก็คงเหมือนคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป ซึ่งฮาร์ดดิสก์ก็จะเป็นที่เก็บข้อมูลถาวรในเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยทั่วไปฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่ก็จะมีความจุมากว่าขนาดเล็ก ท่านอาจจะประหยัดในส่วนนี้ คือ ไม่จำเป็นเลือกฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่มาก และผู้เขียนก็ไม่แนะนำพวกรูปภาพหรือดาวน์โหลดอะไรก็ตามจากอินเตอร์เน็ตมา เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ด้วย เพราะว่าจะเปลืองเนื้อที่โดยไม่จำเป็น และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านต้องใช้โปรแกรมหลาย ๆ ตัว ซึ่งเรียกขึ้นมาจากฮาร์ดดิสก์ เช่น โปรแกรมในกลุ่ม office หรือโปรแกรมเฉพาะในที่ทำงานของท่านเอง ดังนั้นแทนที่ท่านจะใช้ฮาร์ดดิสก์ในการเก็บข้อมูล ผู้เขียนแนะนำว่าใช้เก็บโปรแกรมจะดีกว่าครับ ขนาดของฮาร์ดดิสก์จะอยู่ที่ประมาณ 4-24 GB ซึ่ง 4 GB เป็นมาตรฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่มีขนาดเล็กที่สุดในปัจจุบัน แล้วก็ตามมาด้วยที่ 8 GB แล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคบางรุ่นบางยี่ห้อ สามารถเพิ่มฮาร์ดดิสก์ได้จากช่องที่ให้เสียบด้านล่างถ้าท่านต้องการเนื้อที่ เพิ่ม ซึ่งอาจจะเป็นอีกไดร์ฟหนึ่งซึ่งจะไม่เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป เพราะว่าสามารถถอดออกได้ง่าย

    6. RAM “แรม” (random access memory) เป็นหน่วยความจำชั่วคราวที่ทำงานขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์เปิดอยู่ แรมมีหน่วยเป็น megabyte (MB) B) แรมยิ่งมากเครื่องคอมพิวเตอร์ยิ่งทำงานเร็ว แรมที่ดี หมายความว่าท่านสามารถทำงานได้หลาย ๆ งาน พร้อม ๆ กัน โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ช้าและไม่แฮงค์ เพราะถ้าเป็นแบบนี้เนื่องมาจากแรมไม่พอ ซึ่งจะเหมือนกันทั้งเครื่องเดสก์ทอปและเครื่องโน้ตบุค สำหรับเหตุผลที่ใช้ตัดสินใจในการเลือกจำนวนของแรมที่เหมาะสม เพราะถ้าเพิ่มแรมมากขึ้นก็หมายถึงเงินที่จะต้องจ่ายก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย เช่นกันครับ แม้ว่าเพิ่มเงินเล็กน้อยแล้วได้แรมมากขึ้นก็ไม่แนะนำ แรมที่เหมาะสมในการใช้งานแบบพื้นฐานก็จะประมาณ 32 MB แต่ถ้าจะมีการพิมพ์ การเล่นเกม การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต แรมควรจะอยู่ที่ 64 MB หรือมากกว่า และถ้าจะให้ดีควรที่จะเหลือเผื่อไว้สำหรับการเพิ่มแรมในอนาคตด้วย โดยทั่วไปแล้วแรมจะมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้
        6.1 Extended Data Out (EDO)
        6.2 Fast Page Mode (FPM)
        6.3 Synchronous Dynamic Ram (SDRAM)

ซึ่งทั้ง 3 ประเภทนี้ SDRAM จะเป็นแรมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

    7. แบตเตอรี่ (battery) ก็เป็นจุดที่สำคัญอีกจุดหนึ่งในการพิจารณาเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ต บุค เพื่อที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเสียบ ปลั๊ก ซึ่งแบตเตอรี่ของโน้ตบุคมี 2 แบบ คือ Lithium Ion (LiIon) และ Nickel Metal Hydride (NiMH) แบบ LiIon จะเก็บไฟได้มากกว่าแบบ NiMH 10% และเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคจะต้องสามารถทำงานได้ 2-3 ชั่วโมงโดยใช้แบตเตอรี่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับงานที่ทำและคุณสมบัติของการประหยัดพลังงานของโน้ตบุคแต่ละ เครื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น notebook pentium III มีคุณสมบัติ low-power มันก็จะประหยัดพลังงานเมื่อเวลาที่เราไม่ใช้เครื่อง และบางเครื่องก็มีช่องให้ใส่แบตเตอรี่ได้ 2 ก้อน ถ้าคุณต้องการเพิ่มเวลาเป็นอีกเท่าตัว เรื่องนี้สำคัญมากนะครับสำหรับคนที่ต้องใช้แบตเตอรี่บ่อย ๆ ก็ต้องดูกันที่ค่าเฉลี่ยของชั่วโมงที่ใช้งาน

    8. extra storage เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคส่วนใหญ่จะมีช่องใส่ดิสก์เก็ตต์กับช่องใส่ซีดี เป็นแบบที่สามารถถอดออกได้ โดยส่วนมากตัวที่จะไม่ติดมากับเครื่องเลยมักจะเป็นช่องใส่ดิสก์เก็ตต์ เพราะเก็บข้อมูลได้น้อย แต่จะนำมาต่อเข้าในภายหลัง ถ้าจำเป็นต้องใช้ท่านก็สามารถเลือกได้ว่าต้องการอุปกรณ์ชิ้นใด เช่น ต้องการอ่านข้อมูลจากซีดีหรือดีวีดี เพียงอย่างเดียว หรือต้องการบันทึกข้อมูลลงซีดีด้วย ก็จะเป็นหลาย ๆ แบบให้เลือกตามความต้องการ เพียงแต่ว่าช่องสำหรับอ่านซีดีนั้นไม่สามารถอ่านดีวีดีได้ แต่ช่องสำหรับอ่านดีวีดีสามารถอ่านซีดีได้ครับ ถ้าท่านต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ได้เรื่อยในอนาคต ช่องที่เป็นดีวีดีจะเหมาะกว่าเพราะสามารถอ่านข้อมูลได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลนอกเหนือจาก ฮาร์ดดิสก์ เช่น Iomaga zip drive หรือ imation superdisk พวกนี้ก็เป็นน้องฮาร์ดดิสก์ ก็แล้วแต่ว่าบริษัทไหนจะเรียกอย่างไร

    9. PC card เป็นที่ใช้สำหรับทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคทำงาน ร่วมกับ fax / modem หรือสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายต่าง ๆ ได้ และสามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยความเร็วไปเก็บยังที่ที่ต้องการได้ด้วยครับ

        เป็นอย่างไรบ้างครับ ผู้เขียนคิดว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะมีประโยชน์หรือช่วยให้ท่านตัดสินใจที่จะ ใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุคได้ง่ายขึ้นนะครับ สำหรับการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุคมือสองนั้น ผู้เขียนไม่ค่อยอยากจะแนะนำให้ทำนะครับ เพราะว่าท่านจะไม่ทราบเลยว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อนรึเปล่า ตกหรือเปล่า ฮาร์ดดิสก์เสียรึเปล่า navigation device ยังทำงานดีอยู่รึเปล่า แล้วยังอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ตัวอื่น ๆ อีก แล้วอะไหล่ของอุปกรณ์โน้ตบุคก็มีราคาสูง และบางครั้งการเปลี่ยนมือก็จะสิ้นสุดการรับประกัน ดังนั้นก่อนซื้อต้องตัดสินใจให้ดีนะครับ

อาการจอฟ้าของคอมพิวเตอร์แก้ได้

โพสต์29 ม.ค. 2554 10:10โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 11:57 ]

 
        คำว่า Blue Screen คนเล่นคอม จะรู้จักดีและเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่อยากให้เกิดกับเครื่องของตน เพราะถ้าเกิดนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าคอมของตนเริ่มมีปัญหา แต่ที่น่าเจ็บใจคือมันบอกเป็นเลขรหัสที่เราๆ ท่านๆ ต้องงงเพราะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และจะมีทางแก้ไขอย่างไร ผมไปอ่านเจอมาว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร ก็ลองแปลมาให้คุณๆ ได้อ่าน คิดว่าน่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ได้บ้าง รหัสที่แจ้งของ Blue Screen จริงๆมีเกินร้อยตัว

    1.(stop code 0X000000BE) Attempted Write To Readonly Memory

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้เกิดจากการลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstall โปรแกรมตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ

    2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Caller

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        ตัวนี้จะคล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆ ไม่ compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำเตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virus ด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส

    3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์ดแวร์เสียหาย ซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น error (ร้อนเกินไป) และเมนบอร์ดเสีย

    4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equal

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1

    5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ"hibernate" แนวทางแก้ไข ถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือ ปิดระบบจัดการพลังงานของวินโดวส์ซะ

    6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operations

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1

    7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือ firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1

    8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Device

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรือ boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบmulti OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน config ของ OS ขัดแย้งกัน

อีกกรณีหนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์ สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ compatible ให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามีปัญหาออก เมื่อทำการ upgrade วินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์เวอร์รุ่นล่าสุด

    9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย

    10. (stop code 0X00000077) Kernel Stack Inpage Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการและสาเหตุเดียวกับข้อ 9

    11.(stop code 0X0000001E) Kmode Exception Not Handled

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น

        ถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่ Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ

    12.(stop code 0X00000079)Mismatched Hal

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL) มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HAL มีหน้าที่เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ว่าแอปพลิเคชั่น ตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให้ถูกต้อง ยกตัวอย่าง คุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็น Single CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่

        สาเหตุอีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไฟล์ที่เสีย

    13.(stop code 0X0000003F)No More System PTEs

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitors

        ถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้
1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSession ManagerMemory Management
3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK
4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000 ถ้าเครื่องคุณมี RAM
128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK  รีสตาร์ทเครื่อง

    14.(stop code 0X00000024) NTFS File System

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด Application

    15.(stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Area

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแรม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่

    16.(stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatch

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

อาการนี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15

    17.(stop code 0X000000EA) Thread Stuck In Device Driver

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุด เช่นจะรีสตร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้ สาเหตุอาจจะเกิดจาก bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อย การแก้ไขให้พยายามทำตามนี้

    1.ให้ดูที่ power supply ของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณหรือไม่ ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ power supply ของคุณ ก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น ปัญหานี้ผมเคยมีประสพการณ์แล้ว 2 ครั้ง คือ
    2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุด ถ้าแน่ใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้วยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollback ไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา
    3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น
    4. ดูที่ bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปกของการ์ดหรือไม่
    5. เช็คดูที่ผู้ผลิตเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ
    6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น "PXE Resume/Remote Wake Up" โดยไปปิดที่ BIOS

    18. (stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก overclock (ผมก็คนหนึ่ง) เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

    19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ) ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึ่งในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ 33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้

โพสต์24 ต.ค. 2553 22:02โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 11:09 ]


 
          
        เวลาเราเข้าเว็บไซต์ต่างๆ โปรแกรม IE ก็จะทำการ download ข้อมูลมาเก็บไว้ในเครื่องของเราก่อน จากนั้นถ้าเราเลิกเล่น ไฟล์เหล่านี้ก็จะค้างในเครื่องของเรา นอกจากปัญหาไฟล์ในเครื่องที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อที่ใน hard disk ของเราไม่เพียงพอแล้ว อาจมีไวรัสแอบแฝงเข้ามาในเครื่องคอมฯ ของเราได้ด้วย ดังนั้นวิธีการจัดการอย่างหนึ่งที่ง่ายก็คือ กำหนดให้โปรแกรม IE ลบไฟล์ขยะเหล่านี้อัตโนม้ติทุกครั้งที่ปิดโปรแกรม สำหรับขั้นตอนก็สั้นๆ ครับ เพียงทำตามรายละเอียดข้างล่างนี้ 

        วิธีกำหนดให้ลบไฟล์ขยะจากอินเตอร์เน็ตแบบอัตโนมัติ
1.คลิกเมนู Tools 
2.เลือกคำสั่ง Internet Options 
3.คลิกเลือกแท็ป Advanced 
4.เลื่อนลงมาที่หัวข้อ Security 
5.จากนั้น คลิกหัวข้อ Empty Temporaly Internet Files Folder when browser is closed
6.กดปุ่ม Apply อีกครั้งเพื่อยืนยัน 
7.แล้วนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว 

ข้อมูลเพิ่มเติม:: 
    ส่วนดีของการที่โปรแกรม IE มีการ download ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องของเรา ทำให้การใช้งานในครั้งต่อไป สามารถเปิดดูรายละเอียดในเว็บนั้นๆได้เร็วขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการ download ซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบผลดี ผลเสียกันเอาเองน่ะครับ แต่ถ้าให้ผมฟันธงเลย ขอตอบว่าลบไปเลยดีกว่าครับ..

    นักท่องเน็ตอย่าพลาด ! อ่านตรงนี้ก่อน "การรักษาความปลอดภัยในการเล่นอินเตอร์เน็ต" หลาย ๆ ท่านคงแปลกใจว่า เล่นเน็ตมาตั้งนาน ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่ ลองอ่านข้อมูลด้านล่างเหล่านี้เสียก่อน แล้วท่านจะพบว่า มันไม่จริงอย่างที่คิดไว้แล้ว 

1.Auto Complete
    หลาย ๆ ท่านที่ใช้ internet ในร้านค้าทั่วไป หรือใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันผู้อื่น เคยทราบไหมว่า ทำไมบ้างครั้ง เวลากรอกแบบฟอร์มในบางเวป ถึงมีความข้อความขึ้นมาใหัอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องกรอกจนเสร็จ นั่นเป็นเพราะว่าโปรแกรม I.E. มีการเก็บข้อมูลที่คุณเคยกรอกไว้ โดยมีฟังก์ชั่น ที่ช่วยในการกรอกข้อมูล นั่นคือ Autocomplete แล้วลองคิดดู ถ้ามีบุคคลอื่น นำข้อมูลของคุณไปใช้ คุณจะคิดอย่างไร ? ไม่ยากครับ เรามีวิธีแก้ไขให้ดังนี้ 
1.คลิกไปที่เมนู Tools 2.เลือก Internet Options 3.คลิกแท็ปเลือก Contents 4.คลิกเลือกปุ่ม AutoComplete 5.คลิก ยกเลิกออปชั่น Forms 

2.Clear History
    เวลาท่องเวปแล้ว ไม่อยากให้ใครทราบว่า เราเคยไปเวปไซท์ ไหน ๆ มาบ้าง ยิ่งบางเวปอาจไม่เหมาะที่จะให้เด็ก ๆ หรือเจ้านายของคุณได้รับรู้ จะทำอย่างไรดี ไม่ยากครับ เรามีวิธีมาบอก 
1.คลิกไปที่เมนู Tools 
2.เลือก Internet Options 
3.คลิกแท็ปเลือก General 
4.คลิกปุ่ม Clear History 

3. Cookies ไม่ใช่ขนมน่ะครับ
    Cookies เป็น Text file เล็กๆที่เว็ปเซิร์ฟเวอร์ส่งมายังเครื่องคอมฯของคุณ ทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ในรูปของไฟล์ เพื่อจดจำรหัสผ่าน รายละเอียดการเข้าไปใช้งานในเวปนั้น ๆ ซึ่งจุดนี้เอง ทำให้เจ้าของเวป หรือพวกแฮกเกอร์ สามารถเข้าไป ตรวจสอบ แก้ไข หรือทำลายเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้ เรามีทางแก้ไขครับ 
1.เข้าไปโปรแกรม Windows Explorer 
2.เข้าไป folder C:\winodws\cookies ลบ files ทั้งหมดที่อยู่ใน folder นี้ 
3.เข้าไป folder C:\winodws\Temporary Internet Files ลบ files ทั้งหมดที่อยู่ใน folder นี้ 
4.อาจะใช้โปรแกรม Disk Clean up ซึ่งอยู่ในเมนู Accessories ช่วยก็ได้ 

4.Security Level
    การกำหนดระดับความรักษาความปลอดภัย ในระดับต่างๆ ง่าย ๆ ครับ เพียงแค่คลิกเลือกระดับที่ต้องการ High, Meduium, Medium-Low, และ Low ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีคำอธิบายไว้ให้ และถ้าท่านเป็นผู้ชำนาญในการใช้ internet อาจเลือกหัวข้อ Custom เพื่อกำหนดรายละเอียดย่อย ๆ ด้วยตนเองได้อีกด้วย
1.คลิกไปที่เมนู Tools 
2.เลือก Internet Options 
3.คลิกแท็ปเลือก Security 
5.คลิกแท็ปเลือก Default Level 
5.ปรับระดับความรักษาปลอดภัยตามต้องการ 

    ระวัง ไวรัสจากการค้นหา serial number ผมเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทดสอบการใช้โปรแกรมมานาน ส่วนหนึ่งได้ค้นคว้าหาข้อมูลเองจากอินเตอร์เน็ต อีกส่วนหนึ่งก็อ่านจากนิตยสารคอมพิวเตอร์ หลายๆ ฉบับมักมีการแนะนำการใช้โปรแกรมต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Shareware มีอายุการใช้งานไม่เกิน 30 วัน ผู้เขียนมักแนะนำให้ไปหา Serial Number หรือ Crack จากอินเตอร์เน็ต ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการที่สะดวกในการที่เราต้องการทดสอบโปรแกรมแบบเต็มๆ 

การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายแบบเครื่องต่อเครื่อง ( Wireless: Ad hoc mode)

โพสต์17 ต.ค. 2553 06:28โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 12:09 ]

        การเชื่อมต่อแบบกลุ่มส่วนตัว(Ad-Hoc) การเชื่อมต่อแบบ Ad-Hoc เป็นการเชื่อมต่อที่ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป
ที่ติดตั้งการ์ดแลนไร้สาย (หรือ Centrino Notebook) ทำการเชื่อมต่อสื่อสารกันโดยตรงไม่ต้องผ่านอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) 
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อแบบนี้สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลได้เช่น แชร์ไฟล์ เครื่องพิมพ์หรืออุปกรณ์ต่างๆ การสนทนาแบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ และเล่นเกมส์แบบวงแลนได้ ซึ่งช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องมีสายสัญญาณ แต่การเชื่อมต่อแบบ Ad-Hoc จะไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับเครือข่ายมีสายสัญญาณได้ นอกจากจะทำการติดตั้งอุปกรณ์ Acces Point เพื่อให้ Access Point ทำการเชื่อมต่อและส่งข้อมูลไป

สำหรับ Windows XP

1. เข้าไปที่ Control Panel -> Network Connection

2. ดับเบิ้ลคลิกบน Local Area Connection เพื่อดูค่า IP Address ของเครื่องแม่



3. จากนั้นเลือกแทบ Support คลิกปุ่ม Details เพื่อดูค่าทั้งหมด


4. จะขึ้นหน้าต่างนี่ให้สนใจ ค่า IP Address, DHCP Server เนื่องจากจะใช้ IP จากสองตัวนี้ในการอ้างอิงถึงกันระหว่าง LAN และ Wireless
  • นำ IP Address หากเครื่องนี้เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตโดย Dial Up หรือ อินเตอร์เน็ตรอดแบรนด์ แบบต้องเชื่อมต่อเองทุกครั้ง จะต้องนำ
ค่านี้ไปเซตให้ Wireless Connection
  • นำ DHCP Server หากเครื่องนี้หากเป็นการเชื่อมต่อแบบผ่าน Router หรือเซตให้โมเด็มเป็น Router เรียบร้อยแล้ว แค่เปิดโมเด็มหรือ 
Router หรือโมเด็มก็เล่นเน็ตได้เลย จะต้องนำค่านี้ไปเซตให้ Wireless Connection



5. จากนั้นคลิกขวาบนไอคอน Local Area Connection เดิมนี่แหละ เลือก Properties -> แทบAdvanced จะขึ้นหน้าต่างนี้มา ทำเครื่องหมายทั้งสองช่อง ช่องแรกหมายถึงให้แชร์เน็ตให้กับ เครือข่ายอื่นๆ ช่องที่สอง หมายถึงให้เครือข่ายอื่นๆควบคุมการหรือยกเลิกการแชร์นี้ได้ได้ (ถ้ายังไม่มีช่อง
ให้ทำเครื่องหมายให้ไปดูวิธีท้ายบทความก่อนนะครับ)

6. จากนั้นไปที่ Wireless Network Connection คลิกขวา Properties



7. จากนั้นเลือกตามในรูปครับ เพื่อเข้าไปตั้งค่า IP Address ของ Wireless เครื่องแม่ครับ



8. เซตค่าต่างๆดังนี้ ไอพีตั้งตามในรูปครับ ส่วน DNS server ให้เอาจาก ข้อ 4. ครับ ของใครเป็นแบบใหนก็เอาค่าตรงนั้นมาใส่ครับ
  • สาเหตุที่ต้องตั้งไอพีเป็น 192.168.xxx.xxx เนื่องจากไอพีในกลุ่มนี้เป็น Private IP ครับ เป็นไอพีที่สงวนไว้ให้แต่ละองกรค์หรือบุคคลทั่วไป
นำมาสร้างเครือข่ายใช้กันเอง โดยเมื่อเป็นไอพีแบบนี้แล้ว ข้อมูลจะไม่ถูกส่งออกไปข้างนอกเครือข่ายครับ ยกเว้นเราไปเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแล้วบอกให้เราส่งข้อมูลไปให้หรือให้ส่งผ่านเครือข่ายนั้นด้วย



9. จากนั้นไปที่แทบ Wireless Networks แล้วคลิกปุ่ม Add ครับ เพื่อทำการสร้าง SSID ขึ้นมาสำหรับให้เครื่องอื่นเชื่อมต่อครับ



10. ให้เซตตามรูปครับ ใส่ SSID ตามที่ต้องการครับ จะหมายถึงชื่อเครือข่ายที่เราสร้างขึ้นครับ ตรงช่อง Network key หมายถึงให้ใส่ Password สำหรับการเชื่อมต่อ ให้ใส่ตามใจชอบครับแต่แค่ 5 ตัวนะ เพราะ WEP เป็นการเข้ารหัสอย่างง่ายครับ ห้ามขาดห้ามเกินนะ



11. เลือกแทบ Connection เครื่องหมายช่องนี้ด้วย หมายถึงให้เชื่อมต่อกันอัติโนมัติเมื่ออยู่ในระยะที่เชื่อมต่อได้



12. ก็จะได้เครือข่ายของเราเพิ่มขึ้นแล้วมาครับ


13. จากนั้นคลิกปุ่ม Advanced ทำเครื่องหมายดังรูปครับ เพื่อให้เครื่องนี้เชื่อมต่อกับโหมด Ad-Hoc เท่านั้น เพื่อไม่ได้มันเชื่อมต่อกับ Access Point ตัวอื่นหาอยุ่ในระยะ ก็จะกลายเป็นมันไม่ได้เชื่อมต่อกับเครื่องลูกที่เราต้องการอีก


14. เห็นใหมครับได้เครือข่ายเรามาแล้วเชื่อมต่อกันได้เลยครับ


15. เมื่อเราเชื่อมต่อแล้ว หมายถึงตอนนี้เครื่องแม่เรียบร้อยแล้วที่จะจ่ายไอพีและแชร์อินเทอร์เน็ตให้เครื่องอื่นๆ ภายในเครือข่ายได้แล้ว แต่ Ad-Hoc    ให้ใช้งานสูงสุด 9 เครื่องเท่านั้นนะครับ


16. ไปเครื่องที่ต้องการจะเชื่อมต่อได้เลยครับ จัดการให้มันค้นหาเครือข่ายก็จะเจอเครือข่ายที่เราสร้างขึ้นมา เริ่ม Connect


17. เมื่อเราเริ่มเชื่อมต่อก็ต้องใส่ Password ก่อนครับ เอา Password ที่ตั้งไว้มาใส่ได้เลย เครื่องจะทำการเซ็ตไอพีตัวเองเมื่อใส่ Password ถูกต้อง


18. เครื่องจะเริ่มยืนยันสิทธิการใช้งานและรับค่าไอพีต่างๆมา เมื่อเสร็จสิ้นขึ้นตอนนี้ก็เป็นอันเรียบร้อย




19. เมื่อการเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อยเข้าไปดูค่าไอพีครับ จะได้ไอพีและค่าสำหรับเน็ตเวิร์คอื่นๆมาจากเครื่องแม่


20. ว่าแล้วก็เข้าเว็บโปรดของเรากันได้เลย

*** เพิ่มเติม
        หาก Local Area Connection ไม่มีช่องให้ทำเครื่องหมายสำหรับการอณุญาติให้เครือข่ายอื่นใช้อินเทอร์เน็ต หรือแชร์อินเทอร์เน็ตให้คลิกตรง Network Setup Wizard ก่อนครับ


1. เข้ามาหน้าแรกก็ Next ไปก่อนครับ


2. หน้าที่สองก็ Next ไปครับ


3. หน้านี้ก็ทำเครื่องหมายในช่อง Ignore แล้ว Next เพื่อข้ามไปครับ


4. ทำเครื่องหมายตามรูปครับ แล้วก็ Next


5. เลือกเป็น Local Area Connection และก็ Next


6. เลือกเป็น Wireless Network Connection เพื่อให้สองเครือข่ายเชื่อมต่อกัน


7. ทำเครื่องหมายตามรูปเพื่อแชร์ไฟล์และพริ้นเตอร์ครับ


8. คราวนี้ก็มาตั้งชื่อเครื่องเพื่อใช้ในการอ้างอิงในการแชร์ไฟล์หรือเรียกใช้งานต่าง ช่องบนเป็นแค่รายละเอียดเสริมเวลาเรียกใช้ ส่วนช่องล่างคือชือเครื่องเราครับ


9. จากนั้นก็มาตั้งชื่อ Workgroup ครับ


10. คราวนี้ก็จะมีหน้าสรุปการตั้งค่าให้เราดูครับถ้าพอใจแล้วก็ Next ไปครับ


11. เครื่องก็จะเริ่มทำการตั้งค่าต่างๆตามที่เราเซตไว้


12. เมื่อเสร็จแล้วก็จะต้องรีสตาร์ตหนึ่งรอบเพื่อเป็นการเปลี่ยนค่าให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ดำเนินการตั้งค่าต่อไปตามข้อที่ค้างไว้อยู่ครับ



สำหรับ Windows Vista

เครื่องโฮสต์


1. เข้าไปที่ Start -> Control Panel -> Network and Sharing Center



2. เลือก Manage wireless network

3. Add เพื่อสร้าง Network ขึ้นมาใหม่


4. เลือกเป็น Create an ad hoc network


5. Next ไปครับเป็นแค่การอธิบายรูปแบบ network เท่านั้น


6. เซตค่าต่างๆของ network ที่สร้างขึน้ มา
     6.1. ชื่อ network ที่ต้องการสร้างได้ตามต้องการครับ
     6.2. รูปแบบความปลอดภัยในการเข้ารหัส
     6.3. พาสเวิร์ดสำหรับเชื่อมต่อกับ network นี้ตัง้ได้ตามต้องการแต่ต้องเป็น 5 ตัวอักษรเนื่องจากเป็นการเข้ารหัสแบบ WEP ครับ



7. เท่านีก้ารสร้าง network ก็เรียบร้อย


8. คราวนีมาเซตให้ Local Area Connection แชร์อินเทอร์เน็ตให้กับ Wireless Network Connection กัน


9. คลิกขวาที่ Local Area Connection


10. เลือก Properties


11. ทำเครื่องหมายทัง้สองช่องดังรูปครับ



12. มาที่ Wireless Network Connection ดับเบิล้คลิกครับ


13. เราได้ Ad‐hoc Network ชื่อ MyWifiVista ขึน้ มาแล้ว สถานะกำลังรอการเชื่อมต่อ ไปเครื่อง Client ที่ต้องกนำมาเชื่อมต่อได้เลยครับ

เครื่องไคลเอนต์
     มาที่เครื่องที่จะเชื่อมต่อกันเอาเป็นว่าข้ามระบบปฏิบัติการกันเลยนะ


1. ก็เข้าไปที่ Wireless Network Connection ถ้าเน็ตเวิร์คที่สร้างไว้ยังไม่ขึน้ ก็ลอง Refresh network list ดูนะครับ


2. เมื่อเราเริ่มทำการเชื่อมต่อก็ต้องใส่พาสเวิร์ดที่เซตไว้บน Vista นั่นแหละครับ


3. เมื่อ connect รอบแรกเสร็จแล้วต้องกด connect อีกรอบนะครับเพราะรอบแรก network มันแค่เซตค่าตัวเองเท่านั้น



4. เมื่อทำการ connect รอบที่สองเครื่องก็จำทำการรับที่อยู่ ip address และค่าต่างๆมาจากเครื่องโฮสต์


5. เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนเรียบร้อยก็ทำการเชือมต่ออินเทอร์เน็ตดู

การสร้างเว็บไซต์ด้วย Google Site

โพสต์9 ต.ค. 2553 07:16โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 10:43 ]

แนวคิดเกี่ยวกับ Google Sites
 
 
  
แนะนำ บทความ คู่มือ Google Sites
 
 
    
เทคนิค วิธีการใช้งาน Google Sites
 
เริ่มเรียนรู้
 
เพิ่มความสวยงามให้กับ
06. การปรับแต่งหน้าแรกเว็บ
 
เพิ่มความน่าสนใจให้กับ
 
ดูแลจัดการเว็บ
 
  
ประสบการณ์ใหม่ๆ เรียนรู้เพิ่มเติม Google Sites
 
 


วิธีการนำ File Flash (SWF) เข้ามาแสดงผลใน Microsoft Office

โพสต์3 ต.ค. 2553 02:11โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 12:04 ]

จุดประสงค์

เหมาะสำหรับการนำ File เข้ามา Present ใน Word และ Powerpoint เพื่อช่วยในการนำเสนองานให้ดูมีความน่าสนใจมากขึ้น

Program ที่ต้องการ

  • Microsoft Office Version 2000 ขึ้นไป
  • Flash Player (ตรวจสอบได้โดยหากสามารถเปิด Browser แล้วแสดงผล Flash ได้ก็แสดงว่ามีการติดตั้งไว้แล้ว)

วิธีการ

ในที่นี่ขอนำเสนอ สำหรับ Powerpoint 2000 เพียงอย่างเดียว ส่วน Word 2000 ก็สามารถทำได้ด้วยวิธีการเหมือนๆกัน

1. เปิด Powerpoint 2000 ขึ้นมา



2. เลือก Control Toolbox ออกมา
 
 3. เมนูที่จะได้เพิ่มขึ้นมา ให้เลือกต่อไปที่ More Controls จะมี List ขึ้นมาว่าเราต้องการเลือก Controls อะไร ในที่นี่ให้เลือก

Shockwave Flash Object
 
4. เมิ่อเลือกเป็น Shockwave Flash Object แล้วให้นำ mouse คลิกที่พื้นที่ ว่างของจอ จะได้รูป object ดังภาพ 

5. ทำการคลิกขวาที่ Object นั้นแล้วเลือก Properties 

6. จะได้หน้าต่างเพิ่มขึ้นมาให้คลิกที่ Custom เพื่อกำหนด Flash ที่เราต้องการนำเข้ามาให้คลิกตำแหน่ง วงกลมสีแดง
จะพบหน้าต่างใหม่เพิ่มขึ้นมาดังนี้

 
7. ให้ทำการกำหนด file ที่ต้องการนำมาแสดงใน Movie URL โดยถ้า File SWF ที่จะนำเข้า ไม่ได้อยู่ที่ Path เดียวกับ
file powerpoint ก็ให้กำหนด Path ลงไปให้ครบ ดังตัวอย่าง


        เมื่อกำหนดเรียบร้อยแล้วให้ใส่ Background Color ด้วย เป็น Code สี #FFFFFF คือสีขาวนั้นเอง คลิก Embed Movie ด้วยเพื่อให้ทำงานทันทีเมื่อเปิด Powerpoint ทำการ Save File Powerpoint แล้วลองเลือก Preview ด้วยนะเห็น Flash สามารถแสดงผลบน Powerpoint ได้แล้ว 
        วิธีการต่างๆก็มีเท่านี้ สำหรับ Word ก็สามารถทำได้แบบเดียวกัน เมนูเหมือนกันทุกประการ

ที่มา : http://www.scriptdd.com/webtip/insert-flash-swf-in-microsoft-office.html 

วิธีการเชื่อมเน็ตผ่านมือถือ

โพสต์28 ก.ย. 2553 20:59โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 10:29 ]

รูปจาก : http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRtiy9cefGRDkhtk8C4z8PaEohrxY_FV_R1v5xk92ZYgJRws9c&t=1&usg=__tAQSxt6kZ3ZWqsOOvdJVMCC0Yso=

    ทำแบบนี้การต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือแบบ GPRS โดยใช้อุปกรณ์ Bluetooth  อินเตอร์เน็ตไร้สายผ่านมือถือด้วยระบบ GPRS ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของการใช้งานอินเตอร์เน็ต เพราะว่า ในช่วงนี้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือหลาย ๆ ค่าย ก็มีการทำโปรโมชั่นด้านราคา ออกมาค่อนข้างน่าใช้งานมาก โดยมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก และยิ่งถ้านับเรื่องความสะดวก สำหรับผู้ที่ต้องการ ใช้งานอินเตอร์เน็ตนอกสถานที่ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจทีเดียว 

    ก่อนอื่น มาดูรูปแบบต่าง ๆ ของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านมือถือก่อน โดยทั่วไปแล้ว การที่เราจะสามารถทำการ เชื่อมต่อ เครื่องคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ จะแบ่งวิธีการเชื่อมต่อออกเป็น 3 รูปแบบคือ
    1. ผ่านสาย Datalink กรณีนี้ ส่วนมาก จะต้องมีสาย Datalink และ software เฉพาะของมือถือแต่ละรุ่น ซึ่งค่อนข้างจะแพง
    2. ผ่าน IrDA หรืออินฟาเรด โดยวิธีนี้ จะเหมาะกับมือถือรุ่นเก่า ๆ ข้อเสียคือเวลาใช้งานจะต้องเอา irda มาจ่อให้ตรงกันตลอด 
    3. ผ่าน Bluetooth หรือระบบเชื่อมต่อไร้สาย วิธีนี้จะสะดวกมาก ไม่มีสาย แต่มือถือที่รองรับ bluetooth จะค่อนข้างแพง

    ในที่นี้ จะขอแนะนำการต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน bluetooth โดยอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทดสอบคือ Bluetooth แบบ USB ของ CSR USB Bluetooth และโทรศัพท์มือถือ Sony Ericsson รุ่น T610 โดย SIM ของมือถือที่จะใช้งาน ต้องผ่านการเปิดใช้บริการ GPRS และตั้งค่าใช้งาน GPRS บนเครื่องโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถดูวิธีการตั้งค่าจากระบบต่าง ๆ ได้ดังนี้
    - ระบบ AIS
    - ระบบ DTAC
    - ระบบ Orange
    หรือจะโทรสอบถามจาก call center ของแต่ละระบบก็ได้

    การเชื่อมต่ออุปกรณ์ 2 ชิ้นเข้าด้วยกันเพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth นั้น เราสามารถเลือกใช้บริการต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่น การรับ-ส่งไฟล์ ระหว่างกัน การจำลองให้เป็น Serial Port หรือการเชื่อมต่อเพื่อแชร์เน็ตก็ได้ แต่ในที่นี้ จะขอแนะนำ แค่เพียง การนำเอาระบบ Bluetooth มาเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ เท่านั้นครับ

ขั้นตอนหลักใหญ่ ๆ ในการเซ็ตค่าต่าง ๆ ให้เล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ
    1. เปิดการใช้งานระบบ GPRS ของมือถือก่อน และเซ็ตค่าสำหรับ GPRS ในเครื่องโทรศัพท์ให้เรียบร้อย
    2. ลง Driver ของ USB Bluetooth และเปิดใช้งาน Service ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Dial-Up Networking
    3. ทำการจับคู่หรือ Pairing ระหว่างมือถือและ PC ให้ทั้งสองรู้จักกันได้
    4. สร้าง Dial-Up Connection สำหรับใช้ต่ออินเตอร์เน็ต
    5. เรียกใช้งานผ่าน Dial-Up Connection ได้เลย

    หน้าตา ก็เหมือนกับ Dial-up ทั่วไปนั่นแหละครับ แต่ตรงเบอร์โทร Phone number แทนที่จะใส่เป็น เบอร์สำหรับ การเชื่อมต่อ ของอินเตอร์เน็ตทั่วไป ก็ต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่แบบ GPRS ซึ่งสามารถหาข้อมูลเบอร์นี้ได้จากเว็บไซต์ของมือถือแต่ละค่าย หรือโทรสอบถามจาก call center ของมือถือได้เลย โดยคร่าว ๆ ที่ทราบมาจะใช้เบอร์ดังนี้

Orange = *99#
AIS = *99***1#
DTAC = *99***2#

หลังจากใส่เบอร์แล้วก็กด OK  เสร็จแล้ว เมื่อต้องการจะต่ออินเตอร์เน็ต ก็เรียกที่ Dial-up Connection เหมือนกับการต่อเน็ตทั่วไป  ในกรณีระบบ GPRS ของโทรศัพท์ Orange จะต้องใส่ user และ password เป็นคำว่า orange ด้วย แต่ GPRS ของ AIS หรือ DTAC ไม่ต้องใส่ ให้เว้นว่างไว้ และกดที่ปุ่ม Dial เพื่อเริ่มต้นการต่อเน็ตหน้าจอการเชื่อมต่อเน็ต ก็จะคล้าย ๆ กับการต่อเน็ตธรรมดานั่นแหละ  รอสักพักนึง เมื่อต่อได้เรียบร้อยแล้ว ลองกดดูการเชื่อมต่อครับ จะได้รายละเอียดดังรูปข้างบนนี้ 

    ความเร็วที่ได้จากการต่ออินเตอร์เน็ตแบบ GPRS 
    ทีนี้ หลายคนคงสงสัยว่า การต่อเน็ตผ่าน GPRS นี้ จะได้ความเร็วเท่าไรกันแน่ เอาเป็นว่า ผมไม่มีข้อมูลแบบละเอียดของระบบ GPRS นะครับ ว่าความเร็วแบ่งออกเป็นเท่าไรบ้าง แต่ขอบอกว่า ความเร็วของการเชื่อมต่อแบบนี้ จะได้ประมาณ เทียบเท่ากับโมเด็ม 56k โดยประมาณ โดยความเร็ว อาจจะช้าหรือเร็วกว่านี้ ขึ้นอยู่กับ จำนวนคนที่ใช้งานข้อมูล พร้อม ๆ กันในขณะนั้น และขึ้นอยู่กับ รุ่นของโทรศัพท์มือถือ ว่ารองรับ GPRS ใน Class ไหนได้บ้าง ถ้าเป็นมือถือรุ่นใหม่ ๆ ความเร็วสูงสุด จะมากกว่ารุ่นเก่า ๆ

ข้อสำคัญ : การคิดค่าบริการของ GPRS โดยปกติจะแพงมาก ๆ ดังนั้น หากใครคิดจะเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ ต้องตรวจสอบ การคิดค่าบริการก่อนด้วย ควรจะเป็นการใช้โปรโมชั่นแบบไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน ไม่เช่นนั้น เจอบิลเรียกเก็บค่าโทรศัพท์ อาจจะเป็นหลักหมื่นบาทได้ง่าย ๆ นะครับ

copy left

โพสต์25 ก.ย. 2553 06:02โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 10:24 ]

Copyleft

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


Copyleft (ก๊อปปีเลฟต์) หมายถึงกลุ่มของสัญญาอนุญาต ของสิ่งต่างๆ รวมทั้ง ซอฟต์แวร์ เอกสาร เพลง ศิลปะ โดยอ้างอิงตามกฎหมายลิขสิทธิ์เป็นแนวเปรียบเทียบ ในการจำกัดสิทธิในการคัดลอกงาน และเผยแพร่งาน โดยสัญญาอนุญาตกลุ่ม Copyleft มอบเสรีภาพให้ทุกคน สามารถคัดลอก ดัดแปลง ปรับปรุง และจำหน่ายงานได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องยังคงรักษาเสรีภาพเดียวกันนี้ในงานที่ดัดแปลงแก้ไขมาจากงานนี้ โดยเข้าใจกันว่า Copyleft คือสิ่งที่ตรงข้ามกับจุดประสงค์ดั้งเดิมของกฎหมายลิขสิทธิ์นั่นเอง

อาจจะมองได้ว่าลักษณะพิเศษของ copyleft คือ การที่เจ้าของลิขสิทธิ์ ยอมสละสิทธิบางอย่าง (ที่ได้รับการคุ้มครอง) ภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์, แต่ไม่ทั้งหมด. แทนที่เจ้าของลิขสิทธิ์จะปล่อยงานของเขาออกมาภายใต้ public domain โดยสมบูรณ์ (นั่นคือ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆ), copyleft จะให้เจ้าของสามารถกำหนดข้อจำกัดหรือเงื่อนไขทางด้านลิขสิทธิ์บางประการ สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในงานอันมีลิขสิทธิ์นี้, โดย ถ้าผู้นั้น ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขนี้แล้ว จะถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์. เงื่อนไขเพื่อที่จะไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ภายใต้ copyleft นี้, ได้แก่, การที่ผู้ที่ใช้สอยผลงานจะต้องรักษาสิทธิภายใต้ copyleft นี้ไว้ดังเดิมอย่างถาวร. ด้วยเหตุนี้, สัญญาอนุญาต copyleft จึงถูกเรียกว่าเป็น สัญญาอนุญาตต่างตอบแทน (reciprocal licenses).

สัญลักษณ์ของ Copyleft เป็นตัวอักษรซี (c) หันหลังกลับ โดยไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษนอกจากการตรงกันข้ามกับ Copyright (ลิขสิทธิ์)

เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนของไทย ใช้คำภาษาไทยสำหรับก๊อปปี้เลฟต์ว่า "ลิขซ้าย"
ที่หน้าแรกเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มีข้อความว่า "ลิขซ้าย 2548, 2549, 2550: สมเกียรติ ตั้งนโม"


ประวัติ

แนวคิดของ copyleft เริ่มจากการที่ ริชาร์ด สตอลแมน ได้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ตัวแปลคำสั่งภาษา Lisp(Lisp interpreter) ขึ้นมา. แล้ว บริษัท ที่ชื่อว่า Symbolics ได้ร้องขอที่จะใช้งานตัวแปลคำสั่งนี้, สตอลแมน จึงได้ตกลงที่จะมอบงานชิ้นนี้ให้แก่ บริษัท ภายใต้ public domain คือ ไม่สงวนลิขสิทธิ์. ในเวลาต่อมา บริษัท Symbolics ได้แก้ไขปรับปรุงความสามารถของ ตัวแปลคำสั่งภาษา Lisp ให้ดีขึ้น, แต่เมื่อ สตอลแมน แสดงความต้องการที่จะเข้าถึงส่วนที่แก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมเหล่านั้น ก็ได้รับการปฏิเสธจากบริษัท. ดังนั้นในปี 1984, สตอลแมน จึงได้เริ่มแผนการต่อต้านและกำจัด พฤติกรรมและวัฒนธรรม ของ การหวงแหนซอฟต์แวร์ไว้ (proprietary software) เหล่านี้, โดยเขาได้เรียกพฤติกรรมเหล่านี้ว่า การกักตุนซอฟต์แวร์ (en:software hoarding)[1].

เนื่องจาก สตอลแมน เห็นว่าในระยะสั้น มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะ กำจัด กฎหมายลิขสิทธิ์ในปัจจุบันรวมถึงสิ่งที่เขามองว่าเป็นสิ่งผิดปกติ ให้หมดไปอย่างถาวร, เขาจึงเลือกที่จะใช้กลไกของกฎหมายที่มีอยู่มาเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุสิ่งที่เขาต้องการ; เขาได้สร้าง สัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ ในแบบของเขาขึ้นมาเอง, โดยสัญญาอนุญาตที่เขาสร้างขึ้นมา และ ถือเป็น สัญญาอนุญาต แบบ copyleft ตัวแรก คือ Emacs General Public License[2]. ซึ่งต่อมา สัญญาอนุญาต นี้ก็ได้รับการพัฒนาปรับปรุง จนกระทั่งกลายเป็น GNU General Public License (GPL), ซึ่งเป็น สัญญาอนุญาต แบบ ซอฟต์แวร์เสรี ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอันหนึ่ง

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/Copyleft

ที่มา : http://www.kroobannok.com/49

การทำสถานีวิทยุออนไลน์ด้วย Winamp

โพสต์11 ก.ย. 2553 10:16โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 12:23 ]


ที่มา : http://www.justusers.net/forum/index.php?topic=2351.0;prev_next=next

        หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบที่จะฟังเพลง แต่อยากจะแบ่งปันความสุขให้คนอื่นได้ฟังเพลงพร้อมๆกับเราแต่ต่างที่กันละก็ วันนี้ขอเสนออีกแนวทางหนึ่งของการใช้งาน Internet ความเร็วสูงหรือ Broadband Internet กับการทำสถานีวิทยุออนไลน์ด้วย Winamp 

สิ่งที่ต้องมี
    1.คอม1เครื่อง (แหงอยู่แระ)
    2.Broadband Inter net  ยิ่งแรงยิ่งแจ่ม
    3.โปรแกรม Winamp โหลดได้ที่นี่ 
http://www.winamp.com/player/full.php
    4.ตัวจัดการ Server หรือสถานี โปรแกรม SHOUTcast WIN32 Console/GUI server v1.9.5 โหลดได้ที่  
http://www.shoutcast.com/downloads/sc1-9-8/shoutcast-dnas-1-9-8-windows.exe
    5.Plugins ของ Winamp เพื่อเอาไว้ทำหน้าที่เป็น Dj SHOUTcast DSP Plug-In for Winamp 5.x โหลดได้ที่นี่  
http://www.shoutcast.com/downloads/shoutcast-dsp-1-9-0-windows.exe

เมื่อได้สิ่งที่จำเป็นแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีก่า.....

     - อันดับแรกก็ลง Winamp ไว้ในเครื่อง แต่คิดว่าหลายๆคนคงจะมีแล้วล่ะ Winamp เพราะโปรแกรมตัวนี้มีคนนิยมใช้ฟังเพลงมากมาย 
     - ลงโปรแกรม SHOUTcast WIN32 Console/GUI server ลงได้ตามปรกติเหมือนโปรแกรมทั่วๆไป
     - ลง SHOUTcast DSP Plug-In for Winamp เช่นกัน ลงเหมือนโปรแกรมทั่วๆไป

     เมื่อเราลงโปรแกรมทุกตัวเรียบร้อยเราก็มาทำการ Config สิ่งที่จำเป็นของตัว SHOUTcast WIN32 Console/GUI server กันก่อนซึ่งตัวนี้หลังจากลงแล้วมันจะอยู่ในชื่อ Shoutcast DANS (GUI) เมื่อเรียกมันขึ้นมาแล้ว คลิกไปที่เมนู Edit config (ตามรูป) มันก็จะเปิดตัวตั้งค่ามาให้ 

    จากนั้นหาคำว่า MaxUser=32 ตัวเลข 32 คือจำนวนผู้ฟังสถานีเราได้มากสุดกี่คน ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ net เรา แรงมากน้อยแค่ใหน ยิ่งมีคนฟังพร้อมๆกัน ยิ่งเยอะ ก็จะยิ่งกิน Band with พอสมควรอาจจะเกิดอาการแผ่นเสียงตกร่อง กาตุกๆๆๆได้ กำหนดได้ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป อีกตัวคือตัวกำหนด Port ของตัวโปรแกรม จะอยู่ที่ PortBase=8000 จะตั้งหรือไม่ก็ได้ แต่ค่าปรกติคือ Port 8000 (ตามรูปด้านล่าง)
    

    หลังจากแก้ไขเสร็จก็ save แล้วปิดตัว Shoutcast DANS (GUI) ไปก่อน แล้วค่อยเปิดมาใหม่เพื่อให้ตัวโปรแกรมรับค่าใหม่ที่ตั้งไว้ เปิดทิ้งไว้แบบนั้น หากยังเปิดสถานีอยู่

    ขั้นต่อไปก็เป็นการเรียก Winamp ขึ้นมา จากนั้นกด Ctrl+P เพื่อเรียกหน้าต่าง Winamp Preferences ขึ้นมา ไปที่เมนู Plug-ins  จากนั้นคลิกเลือก DSP/Effects เลือกไปที่ Nullsoft Shoutcast Source DSP V1.9.0 จากนั้นคลิกไปที่ Configure active plug-in

หน้าต่างของตัว Shout cast ส่วนของการเป็น DJ
ปุ่ม Connect เอาไว้เริ่มการกระจายเสียงทาง Internet 
ช่อง Description เอาไว้ตั้งชื่อสถานีของเรา
ช่อง Genre เป็นตัวเอาไว้บอกสถานีเราเป็นเพลงประเภทใด
ส่วนอื่นๆก็ไม่ต้องแก้ไข ปล่อยไว้แบบนั้นเหมือนเดิม

    อันนี้คือตัวสำคัญ คุณภาพเสียงที่ผู้รับฟังจากที่อื่นจะได้ยินเสียงชัดเจนหรือไม่อยู่ที่หน้าต่างนี้ หากเราตั้ง Sampling rate สูงๆเสียงเพลงที่ออกไปก็จะคุณภาพดีไปด้วย แต่ตรงกันข้าม อาจจะทำให้เพลงที่ได้รับฟังขาดเป็นช่วงๆหรือกระตุก ขึ้นอยู่กับ net ที่ผู้ฟังใช้ และความเร็วของ net ของเรา และจำนวนผู้ที่เข้ามาฟังเพลงของเรา อาจจะลองตั้งจากการตั้ง Sampling Rate แบบน้อยๆ ไปก่อนแล้วสอบถามทางผู้ฟังว่าเสียงเป็นอย่างไร และมีกระตุกบ้างใหม หากไม่มีปัญหาก็สามารถค่อยๆเปลี่ยน Sampling Rate ที่สูงขึ้น
    
    เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วก็สามารถทำการเปิดสถานี้ได้ทันที โดยหลักการเปิดสถานีจะมี 3 ขั้นตอน 
1.เปิดตัว Shoutcast DANS (GUI)
2.เปิด Winamp
3.กดที่ปุ่ม Connect ที่หน้า Shout cast source

    การส่ง link ให้เพื่อนๆสามารถให้ด้วยหมายเลข IP  ของเราแล้วตามด้วยพอร์ทที่เราใช้งาน อย่างเช่นNet ของเราใช้ IP 58.11.2.235 ก็ให้ทำการส่ง link ได้ดังนี้ 
Http://58.11.2.235:8000 หากต้องการรู้ว่าเราใช้ IP อะไรอยู่เข้าไปเช็คได้ที่นี่ http://www.cmyip.com/

*** หมายเหตุ หากเราใช้งานเครื่องโดยผ่าน Router ต้องทำการ Forward Port ที่ตัว Router เพื่อชี้พอร์ทมาที่เครื่องเราก่อ

แชร์อินเตอร์เน็ตด้วย ad hoc ใน Windows 7

โพสต์10 ก.ย. 2553 20:56โดยWebmaster Supervisory   [ อัปเดต 1 มิ.ย. 2556 10:18 ]

สมมติว่ามีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอยู่ 4 เครื่อง แต่ขณะนั้นมีเครื่องที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านสายแลนได้เพียงเครื่องเดียว คุณจะทำอย่างไรเพื่อที่จะให้อีก 3 เครื่องที่เหลือ สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ วันนี้ ITeXcite.com มีวิธีการง่ายๆ มาฝากกันครับ

วิธีการที่ขอแนะนำในวันนี้ก็คือ การเชื่อมต่อแบบ Peer-to-Peer หรือที่เรียกว่า Ad Hoc ครับ โดยจะใช้เครื่องที่สามารถต่ออินเตอร์เน็ตได้นั้นเป็นจุดกระจายสัญญาณ แล้วให้ 3 เครื่องที่เหลือเชื่อมต่อกับเครื่องแรกนี้โดยผ่านทางสัญญาณ Wireless นั่นเอง ซึ่ง Ad Hoc หรือการเชื่อมต่อแบบ Peer-to-Peer นั้นเป็นอีกวิธีการหนึ่ง ที่ช่วยให้การแชร์อินเตอร์เน็ตแบบไร้สายของคุณ สามารถทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะใน Windows 7 นั้น มี Wizard หรือตัวช่วยในการเชื่อมต่อ ซึ่งเพียงทำตามขั้นตอน คุณก็สามารถแชร์อินเตอร์เน็ตไร้สายให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ เสมือนเครื่องคุณเป็นจุดกระจายสัญญาณ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม ลองทำตามขั้นตอนนี้ได้เลยครับ

ก่อนอื่น เปิดหน้าต่าง Network and Sharing Center โดยเข้าไปที่ 

Control PanelNetwork and InternetNetwork and Sharing Center

1. คลิกที่ Set up a new connection or network 



2. เลือก Set up a wireless ad hoc... 

3. คลิก Next



4. จะเข้าสู่หน้าต่าง Set up a wireless ad hoc network ให้คลิก Next ไปได้เลย



5. ตั้งชื่อของ Network ที่จะสร้าง

6. เลือกรูปแบบของระบบรักษาความปลอดภัย ในที่นี้เลือกเป็น WPA2-Personal แต่หากไม่ต้องการให้มี password (เครื่องใครก็เชื่อมต่อได้) ก็เลือกเป็น No authentication (Open)

7. กำหนด Security key หรือรหัสผ่านในการเชื่อมต่อ

8. จากนั้นคลิก Next



9. ระบบจะทำการเชื่อมต่อ หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะแจ้งว่า

The [ชื่อเครือข่ายที่ตั้ง] network is ready to use

ให้คลิก Turn on Internet connection sharing เพื่อทำการแชร์อินเตอร์เน็ต เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ



หากขึ้นหน้าต่างดังรูปแสดงว่าการเชื่อมต่อและแชร์อินเตอร์เน็ตสำเร็จครับ



หากคลิกดูที่รายชื่อ network ด้านล่าง ดังรูป ก็จะเห็นชื่อของ network ที่เราสร้างรวมอยู่ด้วย ซึ่งเครื่องอื่นๆ สามารถทำการเชื่อมต่อผ่าน network นี้ได้ เสมือนเป็น access point ตัวหนึ่งครับ



note
เครื่องที่ทำหน้าที่กระจายสัญญาณนั้น จะใช้ wireless ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไปพร้อมกับกระจายสัญญาณแบบ ad hoc ไม่ได้ หากมีอุปกรณ์ wireless แค่ตัวเดียว ต้องต่ออินเตอร์เน็ตด้วยเส้นทางอื่น เช่น อาจเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านทางสาย lan หรือ Bluetooth แล้วกระจายสัญญาณผ่านทาง wireless เป็นต้น

1-10 of 21

Comments